เมนู

เป็นไป. บทแห่งทิฏฐิทั้งหลาย ชื่อว่าอธิมุตติบท อธิบายว่า ถ้อยคำที่
แสดงทิฏฐิ. แห่งอธิมุตติบทเหล่านั้น.
บทว่า ทิฏฺฐิโวหารา อภิญฺญาสจฺฉิกิริยาย ความว่า เพื่อประโยชน์
แก่การรู้แล้วทำให้ประจักษ์. บทว่า วิสารโท ได้แก่ ถึงโสมนัสที่ประกอบ
ด้วยกาย. บทว่า ตตฺถ ได้แก่ในธรรมเหล่านั้น. บทว่า เตสํ เตสํ ตถา
ตถา ธมฺมํ เทเสตุํ ความว่า เพื่อทรงรู้อาสยะ อัธยาศัยที่ดีของเหล่าสัตว์
นั้นๆ ผู้มีทิฏฐิ หรือนอกจากนี้ แล้วทรงแสดงธรรมโดยประการนั้นๆ.
บทว่า หีนํ วา หีนนฺติ ญสฺสต ความว่า หรือจักรู้ธรรมเลวว่าเป็นธรรมเลว.
บทว่า ญาตยฺยํ แปลว่า พึงรู้. บทว่า ทิฏฺฐิยฺยํ แปลว่า พึงเห็น. บทว่า
สจฺฉิกตยฺยํ แปลว่า พึงทำให้แจ้ง. บทว่า ตตฺถ ตตฺถ ยถาภูตญาณํ
ได้แก่ ญาณที่รู้ตามความเป็นจริงในธรรมนั้น ทรงแสดงพระสัพพัญญุต-
ญาณอย่างนี้แล้ว เมื่อทรงแสดงพระทศพลญาณอีก จึงตรัสว่า ทสยินานิ
เป็นต้น. จริงอยู่ แม้พระทศพลญาณ ก็คือพระญาณที่รู้ตามเป็นจริงใน
ธรรมนั้น ๆ นั่นเอง.
จบอรรถกถาอธิมุตติสูตรที่ 2

3. กายสูตร


ว่าด้วยธรรมที่ละด้วยกายวาจาไม่ได้ แต่ละได้ด้วยปัญญา


[23] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันบุคคลพึงละด้วยกาย มิใช่
ด้วยวาจา มีอยู่ ธรรมอันบุคคลพึงละด้วยวาจา มิใช่ด้วยกาย มีอยู่
ธรรมอันบุคคลพึงละด้วยกายไม่ได้ พึงเห็นชัดด้วยปัญญาแล้วจึงละได้ มีอยู่
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันบุคคลพึงละด้วยกาย มิใช่ด้วยวาจาเป็นไฉน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ต้องส่วนอาบัติไร ๆ อัน
เป็นอกุศลด้วยกาย เพื่อนพรหมจารีทั้งหลายผู้เป็นวิญญูใคร่ครวญแล้ว ได้
กล่าวกะภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุเป็นผู้ต้องแล้วซึ่งส่วนอาบัติไร ๆ
อันเป็นอกุศลด้วยกาย เป็นการดีหนอ ที่ท่านผู้มีอายุจงละกายทุจริต
บำเพ็ญกายสุจริต ภิกษุนั้นอันเป็นเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายผู้เป็นวิญญูใคร่
ครวญแล้ว ว่ากล่าวอยู่ ย่อมละกายทุจริต บำเพ็ญกายสุจริต ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้ เรียกว่าอันบุคคลพึงละด้วยกาย ไม่ใช่ด้วยวาจา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลา ก็ธรรมอันบุคคลพึงละด้วยวาจา มิใช่ด้วย
กายเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ต้องส่วน
อาบัติไร ๆ อันเป็นอกุศลด้วยวาจา เพื่อนพรหมจารีทั้งหลายผู้เป็นวิญญู
ใคร่ครวญแล้ว ได้กล่าวกะภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุเป็นผู้ต้องแล้ว
ซึ่งส่วนอาบัติไร ๆ อันเป็นอกุศลด้วยวาจา เป็นการดีหนอ ที่ท่านผู้มี
อายุจงละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต ภิกษุนั้นอันเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย
ผู้เป็นวิญญูใคร่ครวญแล้ว ว่ากล่าวอยู่ ละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้ เรียกว่าอันบุคคลพึงละด้วยวาจา มิใช่
ด้วยกาย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลา ก็ธรรมอันบุคคลพึงละด้วยกายไม่ได้ ละด้วย
วาจาไม่ได้ พึงเห็นชัดด้วยปัญญาแล้วจงละได้ เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย โลภะอันบุคคลพึงละด้วยกายไม่ได้ ด้วยวาจาไม่ได้ พึงเห็นชัด
ด้วยปัญญาแล้วจึงละได้ โทสะ... โมหะ... โกธะ... อุปนาหะ...
มักขะ... ปฬาสะ... มัจฉริยะ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความริษยา

อันชั่วช้า อันบุคคลพึงละด้วยกายไม่ได้ ด้วยวาจาไม่ได้ พึงเห็นชัด
ด้วยปัญญาแล้วจึงละได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความริษยาอันชั่วช้าเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย คฤหบดีถือบุตรแห่งคฤหบดีในโลกนี้ ย่อมสมบูรณ์ด้วยข้าว
เปลือก เงินหรือทอง ทาสหรือคนเข้าไปอาศัยของคฤหบดี หรือบุตร
แห่งคฤหบดีผู้ใดผู้หนึ่ง ย่อมคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ คฤหบดีหรือบุตรแห่ง
คฤหบดีนี้ ไม่พึงสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ข้าวเปลือก เงินหรือทอง อนึ่ง
สมณะหรือพราหมณ์เป็นผู้ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และภสัชบริขาร
อันเป็นปัจจัยแก่คนไข้ สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่ง ย่อมคิดอย่างนี้ว่า
โอหนอ ท่านผู้มีอายุนี้ ไม่พึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ
เภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยแก่คนไข้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าความ.
ริษยาอันชั่วช้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความริษยาอันชั่วช้า อันบุคคลพึง
ละด้วยกายไม่ได้ ด้วยวาจาไม่ได้ พึงเห็นชัดด้วยปัญญาแล้วจึงละได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาอันชั่วช้า อันบุคคลพึงละ
ด้วยกายไม่ได้ ด้วยวาจาไม่ได้ พึงเห็นชัดด้วยปัญญาแล้วจึงจะได้ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความปรารถนาอันชั่วช้าเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ย่อมปรารถนาว่า คนทั้ง-
หลายพึงรู้เราว่า เป็นผู้มีศรัทธา เป็นผู้ทุศีล ย่อมปรารถนาว่า คนทั้ง
หลายพึงรู้เราว่า เป็นผู้มีศีล เป็นผู้ได้สดับน้อย ย่อมปรารถนาว่า คน
ทั้งหลายพึงรู้เราว่า เป็นผู้ได้สดับมาก เป็นผู้มีความยินดีในการคลุกคลี
ด้วยหมู่คณะ ย่อมปรารถนาว่า คนทั้งหลายพึงรู้เราว่า เป็นชอบสงัด
เป็นผู้เกียจคร้าน ย่อมปรารถนา คนทั้งหลายพึงรู้เราว่า เป็นผู้

ปรารภความเพียร เป็นผู้มีสติหลงลืม ย่อมปรารถนาว่า คนทั้งหลาย
พึงรู้เราว่า เป็นผู้มีสติตั้งมั่น เป็นผู้มีใจไม่ตั้งมั่น ย่อมปรารถนาว่า
คนทั้งหลายพึงรู้เราว่า เป็นผู้มีใจตั้งมั่น เป็นผู้มีปัญญาทราม ย่อม
ปรารถนาว่า คนทั้งหลายพึงรู้เราว่า เป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ยังไม่สิ้น
อาสวะ ย่อมปรารถนาว่า คนทั้งหลายพึงรู้เราว่า เป็นผู้สิ้นอาสวะ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าความปรารถนาอันชั่วช้า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ความปรารถนาอันชั่วช้า อันบุคคลพึงละด้วยกายไม่ได้ ด้วย
วาจาไม่ได้ พึงเห็นชัดด้วยปัญญาแล้วจึงละได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากว่าโลภะครอบงำภิกษุนั้นเป็นไป หากว่า
โทสะ โมหะ โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปฬาสะ มัจฉริยะ ความริษยา
อันชั่วช้า ความปรารถนาอันชั่วช้า ครอบงำภิกษุนั้นเป็นไป ภิกษุนั้น
อันบุคคลพึงรู้อย่างนี้ว่า โลภะย่อมไม่มีแก่ท่านผู้รู้ ฉันใด ท่านผู้มีอายุ
นี้หารู้ฉันนั้นไม่ เพราะฉะนั้น โลภะจึงครอบงำท่านผู้มีอายุนี้ โทสะ
โมหะ . . . ความริษยาอันชั่วช้า ความปรารถนาอันชั่วช้า ย่อมไม่มีแก่
ท่านผู้รู้ ฉันใด ท่านผู้มีอายุนี้หารู้ฉันนั้นไม่ เพราะฉะนั้น โทสะ
โมหะ... ความริษยาอันชั่วช้า ความปรารถนาอันชั่วช้า จึงครอบงำ
ท่านผู้มีอายุนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บทว่าโลภะไม่ครอบงำภิกษุนั้นเป็นไป หาก-
ว่าโทสะ โมหะ... ความริษยาอันชั่วช้า ความปรารถนาอันชั่วช้า ย่อม
ไม่ครอบงำภิกษุนั้นเป็นไป ภิกษุนั้นอันบุคคลพึงรู้อย่างนี้ว่า โลภะย่อม
ไม่มีแก่ท่านผู้รู้ ฉันใด ท่านผู้มีอายุนี้ย่อมรู้ชัด ฉันนั้น เพราะฉะนั้น
โลภะจึงไม่ครอบงำท่านผู้มีอายุนี้ โทสะ โมหะ... ความริษยาอันชั่วช้า

ความปรารถนาอันชั่วช้า ย่อมไม่มีแก่ท่านผู้รู้ ฉันใด ท่านผู้มีอายุนี้ย่อม
รู้ ฉันนั้น เพราะฉะนั้น โทสะ โมหะ... ความริษยาอัน ชั่วช้า ความ
ปรารถนาอันชั่วช้า จึงไม่ครอบงำท่านผู้มีอายุนี้.
จบกายสูตรที่ 3

อรรถกถากายสูตรที่ 3


กายสูตรที่ 3

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อาปนฺโน โหติ กญฺจิกาย เทสํ ความว่า เป็นผู้ต้องส่วน
แห่งอาบัติบางอย่าง. บทว่า อนุวิจฺจ ได้แก่ เข้าไปพิจารณา คือดูรอบคอบ
แล้ว. บทว่า กายทุจฺจริตํ ได้แก่ กายทุจริต 3 อย่าง. บทว่า
วจีทุจฺจริตํ ได้แก่ วจีทุจริต 4 อย่าง. บทว่า ปาปิกา อิสฺสา ได้แก่
ความริษยาอันทราม. บทว่า ปญฺญาย ทิสฺวา ทิสฺวา ได้แก่ มองเห็น
แล้วพึงละเสียด้วยมรรคปัญญา พร้อมด้วยวิปัสสนา. บทว่า อิชฺฌติ
แปลว่า สำเร็จพร้อม. บทว่า อุปวาสสฺส ได้แก่ ผู้เข้าไปอาศัยอยู่. บทว่า
อภิภุยฺย ได้แก่ ครอบงำย่ำยี. บทว่า อิริยติ ได้แก่ เป็นไป. ในพระสูตร
นี้ ตรัสมรรคพร้อมด้วยวิปัสสนา.
จบอรรถกถากายสูตรที่ 3

4. มหาจุนทสูตร


ว่าด้วยพระมหาจุนทะสอนภิกษุ


[24] สมัยหนึ่ง ท่านพระมหาจุนทะ อยู่ที่ชาติวัน ในแคว้นเจตี
ณ ที่นั้นแล ท่านพระมหาจุนทะ เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนอาวุโส ภิกษุ